กาลครั้งหนึ่ง เมื่อ 12 ปีที่แล้ว สำนักพิมพ์กำมะหยี่ได้ถือกำเนิดขึ้น จากความบังเอิญ โชคชะตา ผสมความสามารถ (แฮ่ม!) และความตั้งใจ หนึ่งในความตั้งใจของเรา คือ เขียนบล็อกเพื่อสื่อสารกับคนอ่านและบางครั้งกับตัวเราเอง ทุกวันนี้ เงยหน้ามาอีกที ทำไมไม่มีเวลาเขียน/ค้นหาข้อมูลอะไรแบบนั้นแล้ว ไฟที่ร้อนแรงในช่วงแรกอาจจะถูกใช้ไปกับการเผาผลาญเพื่อให้พลังงานในการจัดพิมพ์หนังสือนับร้อยเล่มในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
วันนี้เรากลับมาสู่การเขียนบล็อกอีกครั้ง จุดไฟ แบ่งเวลาอีกครั้ง โดยนอกจากจะเขียนถึงเรื่องปัจจุบัน สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ และสิ่งจะทำให้เกิดขึ้นในอนาคต เรายังจะย้อนกลับไปยังอดีต ไปดูสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของกำมะหยี่ในครั้งโน้นด้วย ผ่านคอลัมน์ GammeMagie Revisit [ย้อนเวลากับกำมะหยี่] ซึ่งจะเป็นช่วงที่เรากลับไป 'เยี่ยมเยือน' บทความต่างๆ ที่เราเคยเขียน/แปลเอาไว้ตามบล็อก สมัยที่อะไรๆ ดูจะเดินก้าวไปอย่างช้าๆ มีเวลาให้จัดทำสิ่งที่สมัยนี้เรียกว่า 'content' ในวัยที่ยังมีพลัง หลังจากงานการต่างๆ แล้ว ยังมีแรงมาดูแลให้ข้อมูลตัวเองและคนอื่นอยู่
ในครั้งแรกนี้ เราจะย้อนไปเยี่ยมบทความหนึ่งในบล็อกของเราที่ชื่อ 'ฮารูกิ มูราคามิ VS 10 คำถามในนิตยสาร Time' มาดูกันสิว่า 10 คำถามนั้นมีอะไรบ้าง และในตอนนี้มีอะไรที่เรารู้เพิ่มเติมกันบ้าง
- คุณชอบหนังสือเล่มไหนมากที่สุด
เดอะ เกรต เกสบี (The Great Gasby) ผมเคยแปลเมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนอายุยี่สิบกว่าๆ ผมอยากแปลเรื่องนี้ แต่ตอนนั้นผมยังไม่พร้อม
สิ่งที่เรารู้มากกว่านั้น: รายการหนังสือในดวงใจเพิ่มเติมคือ
The Long Goodbye โดย Raymond Chandler (มีแปลไทย)
Philip Marlowe series โดย Raymond Chandler (มีแปลไทย)
Catcher in the Rye โดย J. D. Salinger (มีแปลไทย)
The Brothers Karamasov โดย Dostoevsky(มีแปลไทย)
The Castle” โดย Franz Kafka (มีแปลไทย)
- การวิ่งระยะไกลมีผลต่อการเขียนหนังสือของคุณอย่างไรบ้าง
เวลาเขียนหนังสือเล่มหนาๆ สิ่งที่คุณจำเป็นต้องมี มีอยู่สองอย่าง คือ สมาธิและความอึด การวิ่งระยะไกลทำให้ผมมีพลังความอึด
สิ่งที่เรารู้มากกว่านั้น: เยอะแยะ เพราะเราได้อ่าน 'เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง' [What I Talk About When I Talk About Running] ที่มูราคามิมาขยายความสองอย่างที่กล่าวถึงข้างบนแบบละเอียดกันแล้ว
-คุณใส่รองเท้าผ้าใบยี่ห้อไหนวิ่ง
ผมไม่ยึดติดกับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง ตอนนี้ผมใส่ไนกี้ แต่เป็นรองเท้าที่คนของไนกี้ให้มา
สิ่งที่เรารู้มากกว่านั้น: ไม่มี
-คุณมองตัวเองว่าเป็นนักเขียนญี่ปุ่น หรือเป็นแค่นักเขียนเฉยๆ
ผมเป็นนักเขียนญี่ปุ่น ผมเกิดที่ญี่ปุ่นและใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในญี่ปุ่น ผมคิดเป็นภาษาญี่ปุ่นและเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มองโลกแบบสากล อย่างเช่น ตัวละครของผมชอบกินเต้าหู้มาก แล้วสมมติ เอาเป็นว่า...มีคนนอร์เวย์อ่านหนังสือของผม เขาก็จะคิดว่า “ไอ้หมอนี่ชอบกินเต้าหู้” แต่ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่านักอ่านคนนั้นจะรู้หรือเปล่าว่าเต้าหู้เป็นยังไง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเข้าใจความรู้สึกของตัวละครตัวนั้นได้อยู่ดี
สิ่งที่เรารู้มากกว่านั้น: นอกจากเป็นนักเขียนญี่ปุ่น ยังมีความรักชาติแบบคนที่เห็นโลกมาเยอะ ไม่ลุ่มหลง ไม่ลืมหูลืมตาเชียร์ชาติตัวเองตลอดด้วย เดี๋ยววันหลังจะนำอีกบทความที่แสดงออกถึงข้อนี้มาให้อ่านกัน
-สิ่งที่มาจากวัฒนธรรมตะวันตกมีผลกับเรื่องที่คุณเขียนอย่างไรบ้าง
เวลาผมเขียนให้ตัวละครต้มสปาเก็ตตี้กินเป็นอาหารกลางวัน และเมื่อมีตัวละครฟังเพลงของวงเรดิโอเฮดขณะขับรถ จะมีหลายคนคิดว่า เขาได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากเกินไป แต่เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผม
สิ่งที่เรารู้มากกว่านั้น: สปาเก็ตตี้ยังคงมีอยู่ไม่ห่างหายไปไหน แต่เพลงเริ่มคลาสสิก ลึกล้ำ ขึ้นทุกที (โชคดีที่มี spotify
)
-ในนิยายของคุณมีเรื่องอาหารเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมาก มื้ออาหารในฝันของคุณเป็นอย่างไร
มื้ออาหารที่ผมชอบมากที่สุด คือ ตอนที่คุณไม่รู้ว่าจะทำอะไรกินดี แล้วคุณก็เปิดตู้เย็น เจอผักคึ่นช่าย ไข่ เต้าหู้กับมะเขือเทศ ผมใส่ทุกอย่างลงไปเป็นอาหารจานที่ผมคิดขึ้นเองออกมา นั่นล่ะเป็นอาหารที่สุดยอดที่สุด ไม่มีการวางแผนใดๆ ทั้งสิ้น
สิ่งที่เรารู้มากกว่านั้น: นั่นคือวิธีการทำอาหารของตัวละครหลายตัวในนิยายของเขาด้วย
-ทำไมงานเขียนของคุณถึงมีคนอ่านทั่วโลก
ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่สไตล์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้างานเขียนแบบร้อยแก้วมีจังหวะที่เป็นธรรมชาติ เวลาแปลมันจะไม่เสียรสชาติ
สิ่งที่เรารู้มากกว่านั้น: นักแปลบอกว่าภาษาของฮารูกิ มูราคามิ ไม่ซับซ้อน แต่ความเรียบง่ายบางทีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราไม่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในนั้นกันแน่
-ดนตรีแจ๊ซมีอิทธิพลต่องานเขียนของคุณอย่างไร
ผมเคยเปิดบาร์แจ๊ซ และฟังเพลงแจ๊ซทุกวันตั้งแต่เช้ายันค่ำ ผมชอบการรู้จักจับจังหวะและการด้นสด นักดนตรีเก่งๆ ไม่รู้หรอกว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น มันเป็นเรื่องของแรงกระตุ้นที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้น เวลาผมเขียนนิยายหรือเรื่องสั้น ผมไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
สิ่งที่เรารู้มากกว่านั้น: น่าจะเป็นมุมมองในการทำงานศิลปะทุกประเภทของมูราคามิ เพราะแม้แต่ในการวาดรูปโดยตัวละครในเรื่อง 'สัญญาณสังหรณ์' เอ้ย ไม่ใช่! นั่นมันหนังสือของเอมี เบ็นเดอร์ จริงๆ คือในเล่ม 'สังหารจอมทัพอัศวิน' ก็มีลักษณะด้นสด ปล่อยไปเรื่อยๆ อย่างนี้เหมือนกัน (อันที่จริงเรื่องการทำอาหารในข้อข้างบน ก็เข้าข่ายอยู่) ไหนจะเรื่องราวที่คนอ่านเดาไม่ถูกในหนังสืออีก
-ทำไมคุณถึงเขียนเรื่องราวที่มีความมหัศจรรย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ผมเชื่อว่าความมหัศจรรย์และพลังของเรื่องจะให้กำลังใจและสร้างความตื่นตาตื่นใจกับคนเรา ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ นอกถ้ำมันมืด แต่ข้างในมีไฟและมีคนที่เล่าเรื่องเก่งอยู่ด้วย ทุกครั้งที่ผมเขียนงาน ผมจะนึกถึงถ้ำที่ว่านั่น เราอยู่กันเป็นกลุ่ม ข้างนอกมืดมิด และหมาป่ากำลังหอน แต่ผมมีเรื่องมาเล่าให้ฟัง
สิ่งที่เรารู้มากกว่านั้น: น่าจะไม่มี อ้อ มีเรื่องนึง ไอเดียเรื่องติดอยู่ในถ้ำแล้วผลัดกันเล่าเรื่องอยู่ในเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งในเล่ม 'ปีศาจแห่งเล็กซิงตัน' ชื่อ 'ชายคนที่เจ็ด' แปลโดยคุณปราบดา หยุ่น
-ช่วยพูดถึงนิยายเล่มต่อไปที่กำลังจะวางแผงหน่อยได้มั้ยครับ
ผมเขียนนิยายเล่มนี้มาเกือบสองปีแล้ว และมันจะเป็นหนังสือเล่มหนาที่สุดที่ผมเคยเขียนมา หนังสือทุกเล่มของผมเป็นเรื่องรักพิลึกๆ และเล่มนี้จะเป็นเรื่องรักพิลึกๆ ที่มีขนาดยาวมาก
สิ่งที่เรารู้มากกว่านั้น: เล่มนั้นคือ 1Q84 จ้ะ
พบกันใหม่ในบทความหน้า ที่นี่ G&E กำมะหยี่&เอิร์นเนส (ร้านออนไลน์ที่ขายหนังสือไป ทำหนังสือไป)
G&E กำมะหยี่&เอิร์นเนส