1 จากเด็กมีปัญหา สู่การเยียวยาด้วยหนังสือ
คุณฟุมิโนริกล่าวไว้หลายครั้งว่า ตอนเด็กๆ มีชีวิตไม่ค่อยดีนัก เข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้ ต้องแกล้งทำเป็นเข้มแข็งเพื่อไม่ให้โดนแกล้ง เก็บกดมากๆ เข้าช่วงย่างเข้าวัยรุ่นถึงกับหยุดไปโรงเรียน อยู่กับบ้านแล้วเริ่มอ่านหนังสืออย่างจริงจัง เรียกได้ว่าหนังสือเข้ามาช่วยชีวิต
หนังสือเล่มสำคัญที่ทำให้รู้สึกดีกับตัวเองขึ้น คือ ‘สูญสิ้นความเป็นคน’ ผลงานชิ้นเอกจาก Osamu Dazai ซึ่งทำให้เห็นว่าคนที่รู้สึกว่าโลกร้าย อยู่ยาก ยืนโอนเอนปริ่มขอบไม่ได้มีแต่ตัวเองอย่างเดียว
จากความรู้สึกดีๆ ที่หนังสือมอบให้ ทำให้เขาย้อนคิดได้ว่า หนังสือเกิดจากคน ดังนั้นคนก็อาจจจะไม่ได้แย่เสมอไป ความรู้สึกเกลียดกลัวผู้คนจึงลดลง
2 จากการอ่านหนังสือญี่ปุ่น ขยายไปสู่งานของนักเขียนต่างชาติ
หลังจากอ่านหนังสือจากปลายปากกาของนักเขียนร่วมชาติมากมายแล้ว เขาก็เริ่มขยับขยายไปอ่านหนังสือที่แปลจากผลงานของนักเขียนต่างชาติ โดยมี Fyodor Dostoevsky เป็นนักเขียนคนโปรด
นักเขียนญี่ปุ่นที่มีอิทธิพลต่อเขา คือ Kobo Abe, Kenzaburo Oe, Yukio Mishima, Osamu Dazai ฝั่งนักเขียนต่างประเทศ คือ Franz Kafka, Albert Camus และแน่นอน Fyodor Dostoevsky
3 จากนักอ่านตัวยง สู่การเป็นนักเขียนมือรางวัล
เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจว่าจะทำงานอะไร เขาบอกตัวเองว่าชีวิตมีครั้งเดียว ทำงานที่ชอบทำละกัน นั่นคือ เขียนนิยาย โดยเริ่มต้นจากการเขียนส่งประกวดด้วยความมั่นใจ ครั้งแรกตกรอบ (โทษไปรษณีย์ว่าส่งไม่ถึง) ครั้งที่สองตกรอบ (คงจะไม่ใช่ไปรษณีย์แล้วล่ะ)
เขาเลยปรินต์งานเขียนของตนลงกระดาษ ทิ้งไว้สักพัก แล้วหยิบมาอ่าน ในฐานะคนอ่าน ในฐานะคนอื่น ไม่ใช่ในฐานะคนเขียน และพบจุดที่ต้องแก้ไข นำไปสู่การปรับปรุง และได้รับรางวัล ได้ตีพิมพ์ในที่สุด เริ่มจากรางวัลนักเขียนหน้าใหม่ ต่อด้วยการกวาดรางวัลใหญ่อย่าง Akutagawa Prize (เด็กชายใต้ผืนดิน) และ Kenzaburo Oe Prize (นักล้วง)
4 นักเขียนผู้ทำให้เส้นแบ่งงานวรรณกรรมบริสุทธิ์กับงานเขย่าขวัญใจสายแมส บางลง
เมื่อมีคนถามว่าวรรณกรรมคืออะไร คุณฟุมิโนริตอบว่า
”งานเขียนแบบใดก็ได้ที่มีความหมายเกินกว่าผลรวมของถ้อยคำที่นำมาใช้”
ในญี่ปุ่นจะมีการแบ่งงานเขียนนิยายเรื่องแต่งออกเป็นสองประเภทค่อนข้างชัดเจน คือ วรรณกรรมบริสุทธิ์ (เข้มข้น ขายยาก) กับ วรรณกรรมตลาด (เข้าถึงไม่ยาก ขายง่าย) งานเขียนของฟุมิโนริส่วนใหญ่จะอยู่ในแนวเขย่าขวัญ ลุ้นระทึก ซึ่งเป็นที่นิยมมีตลาดกว้าง แต่ในขณะเดียวกันก็มีคุณสมบัติของวรรณกรรมบริสุทธิ์ เผยส่วนลึกที่สุดของมนุษย์ ส่วนดำมืดที่มนุษย์ทุกคนซ่อนไว้
”นิยายของผมเป็นเรื่องเกี่ยวกับความลึกในหัวใจของมนุษย์ ผมเขียนหนังสือแนวดาร์กๆ ก็จริง แต่ผมเขียนด้วยความตระหนักถึงความหวัง ผมเชื่อว่าความหวังที่แท้จริงหาเจอได้แค่เพียงในความมืดดำที่อยู่ลึกในก้นบึ้ง”
5 จากญี่ปุ่น สู่การยอมรับจากนานาประเทศ
คุณฟุมิโนริเริ่ม ‘โกอินเตอร์’ หลังจาก ‘掏摸’ (นักล้วง) ได้รางวัล Kenzaburo Oe Prize และมีการจัดแปล-จัดพิมพ์ในภาษาอังกฤษโดย Soho Crime โอ้ย คุณ… ฝรั่งตื่นเต้นกันใหญ่ ในอเมริกาปีนั้นได้รับยกย่องว่าเยี่ยมยอดเป็น The Best Novels of March 2012 ของ Amazon.com กับ The Best Novels of 2012 ของ The Wall Street Journal
ในปี 2014 คุณฟุมิโนริได้รับรางวัลวรรณกรรม NoireCon’s David Goodis Award ที่อเมริกา ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับนักเขียนแนวนัวร์ฟิคชั่นโดยเฉพาะ
จนถึงตอนนี้มีหนังสือที่ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว 5 เล่ม เล่มที่ 6 กำลังจะออกต้นปีหน้า ตอนนี้สำนักพิมพ์เปิดให้ Pre-Order แล้ว (เปิดเร็วมาก!)
ในยุโรป นวนิยายของเขาได้รับการแปลที่แน่ๆ คือ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอิตาลี ภาษาเยอรมัน ในเอเชียที่แน่ๆ ก็ ภาษาไทย (แฮ่ม!) กับภาษาจีน (ไต้หวัน)
6 ‘นักล้วง’ มาจากการประสานข้อสงสัยสองเรื่องเข้าด้วยกัน
เริ่มจากข้อแรก: ยามปฏิบัติงาน นักล้วงกระเป๋ามีความรู้สึกอย่างไร และร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นใดบ้าง ความตื่นเต้นที่ไหลลงไปที่นิ้ว การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิร่างกาย ฯลฯ โดยเขาลงทุนศึกษาประวัติการล้วงกระเป๋าและฝีกเทคนิคต่างๆ และถึงกับทดลองทำกับเพื่อนเพื่อให้เข้าถึงอย่างแท้จริง
ข้อสอง: จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนที่สามารถควบคุมชะตากรรมของคนอื่นได้ แม้ว่าจริงๆ แล้วจะดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้เบ็ดเสร็จทั้งหมด แต่ในระดับหนึ่งน่าจะเป็นไปได้
(แถม) เหตุผลที่เขามักจะเขียนถึงคนส่วนน้อยในสังคม
“ถ้าเกิดมีการแบ่งคนออกป็น คนส่วนน้อย กับ คนส่วนใหญ่ ผมจะเลือกอยู่ข้างคนส่วนน้อย แน่นอนว่าการล้วงกระเป๋าเป็นอาชญากรรม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่ดี แต่หัวโขมยเหล่านั้นก็เป็นพวกที่รู้สึกอึดอัดกับการมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ นั่นเป็นจุดที่ผมเห็นใจพวกเขา และคิดว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของคนกลุ่มน้อยในทางหนึ่ง”
7 สมุดบันทึกไอเดียในการเขียนเรื่อง ‘นกต่อ’ มีหน้าปกเป็นรูปรองเท้าส้นสูง (ซึ่งเป็นลวดลายในเล่มด้วย)
คุณฟุมิโนริเชื่อว่า ถ้าเราหมกมุ่น ทุ่มเทกับเรื่องอะไร เราต้องอยู่กับสิ่งนั้นตลอดเวลา ทำให้รอบตัวมีบรรยากาศของสิ่งนั้น แล้วไอเดียมันจะผุดขึ้นมาเอง สมุดจดในการเขียนนิยายของเขาแต่ละเรื่องจึงแยกเล่มกัน โดยหน้าปก (รวมถึงลายประดับในเล่ม) จะมีการคุมธีม เป็นภาพที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวซึ่งกำลังจะเขียน
ปกสมุดจดเล่ม ‘นักล้วง’ เป็นรูปหอคอย ส่วนเล่มน้องสาว ‘นกต่อ’ เป็นรูปรองเท้าส้นสูงบนพื้นสีแดง เพราะเป็นเรื่องของฝั่งผู้หญิง
(แถม) คุณฟุมิโนริเล่าให้ฟังว่า เล่ม ‘นกต่อ’ นี้ ตอนแรกเขาเขียนไม่ออกเลย และได้คำแนะนำจากบรรณาธิการว่า เขียนประโยคแรกของเรื่องออกมาก่อนสิ เดี๋ยวเรื่องมันก็ตามออกมาเอง และประโยคนั้นก็คือ
‘ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ฉันรู้ตัวว่าจะไม่มีวันได้สิ่งที่อยากได้ที่สุด’
8 ‘ฤดูหนาวเมื่อเราพราก’ เริ่มจากความคิดเกี่ยวกับการที่ศิลปะทะลวงเข้าครอบงำจิตใจของศิลปิน
หลังจากนั้นเขาก็นึกถึงเล่ม In Cold Blood ของ Truman Capote ที่มีนักเขียนเข้าไปสัมภาษณ์ฆาตกรในคุก มีการกล่าวถึงหนังสือเล่มนี้ในเรื่องด้วยว่าเมื่อเขียนเล่มนี้จบแล้ว จะเขียนเล่มอื่นไม่ได้อีกเลย ธีมนี้ยิ่งเห็นได้ชัดจากชีวิตของ ‘ศิลปิน’ ทุกคนในเรื่องที่ถูกงานศิลปะของตนเข้าครอบงำในทางใดทางหนึ่ง
อีกประเด็นนึงในเล่มนี้คือ ‘การควบคุมชีวิตคนอื่น’ ซึ่งในเล่ม ‘นักล้วง’ กับ ‘นกต่อ’ ผู้ควบคุมคือคนเดียวกัน คือชายชื่อคิซากิ แต่ในเล่มนี้เปลี่ยนผู้รับบทบาทนี้เป็นผู้หญิง (ไม่บอกชื่อ เดี๋ยวสปอยด์)
G&E กำมะหยี่&เอิร์นเนส